ผมรักษามะเร็งด้วยตนเอง โดยวิธีธรรมชาติบำบัด ได้ผลมาก หายเป็นปกติมา 7 ปีแล้วครับ

ผมรักษามะเร็งด้วยตนเอง โดยวิธีธรรมชาติบำบัด ได้ผลมาก หายเป็นปกติมา 7 ปีแล้วครับ
ธรรมชาติบำบัด

นายมนตรี ป่วยเป็นมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ ระยะที่ 3หลังจากผ่าตัดลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็งออกเซลล์มะเร็งได้ลุกลามต่อมน้ำเหลืองไปแล้วมีโอกาสมากที่จะกระจายสู่จุด อันตรายที่สุดคือตับ และอวัยวะส่วนต่างๆในช่องท้อง แต่ก็ได้ตัดสินใจรักษาโดยธรรมชาติบำบัดทันที (ยุทธศาสตร์ 4 อ.) โดยไม่ขอรับเคมีบำบัด และรังสีรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ในความเห็น ของแพทย์สรุปว่าโอกาสที่จะอยู่รอดถึง 2 ปีหลังการผ่าตัด
อาจจะต่ำกว่า 50% ซึ่งก็มีเหตุผลที่ต้องเชื่อ แต่ผมก็เชื่อใน”ทางเลือกใหม่”ว่าอาจจะทำให้ผมอยู่ได้เป็นสิบปี ซึ่งก็เกินพอแล้วสำหรับสภาวะเช่นนี้
แต่ถ้าจะอยู่ได้ ต่อไปอีกก็เป็นเรื่องที่ดีในการใช้ชีวิตต่อไปอย่างสงบสุข ผมตัดสินใจใช้ทฤษฏีบำบัดมะเร็ง ของ นพ.แมกซ์ เกอร์สัน บิดาแห่งนักธรรมชาติบำบัด และจากหลักการของอาหารแมคโครไบโอติกส์ มาดัดแปลงรักษาตนเองให้เป็น วิถีไทยๆ ด้วยวิธีคิด ด้วยเหตุด้วยผลจนเกิดความเชื่อมั่นว่าถ้าใช้วิธีนี้ต้องไม่ตายแน่ เอาชีวิตตัวเองเดิมพันเลย

ผมได้ตรวจเช็คเลือด CEA (Carcinoembryonic Antigen) ทุก 3 เดือน ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติหลังการผ่าตัด ค่าของ CEA ขึ้นๆลงๆ เคยอยู่ในระดับปกติดีที่สุดที่ 1.1 ng/ml สูงกว่าปกติที่ 5.1 และกลับมาที่ 4.4 และสูงขึ้นไปที่ 8.7 (ก่อนผ่าตัดขึ้นกว่า 40) การเจาะเลือด CEA นั้นเป็นการตรวจหา Antigen ของเซลล์มะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ คนปกติที่ไม่สูบบุหรี่จะมีค่าไม่เกิน 5 หน่วย ถ้ามีมะเร็งก็อาจขึ้นไปอีก ถ้าถึง 10 หน่วยก็ควรต้อง CT-Scan ดูแล้ว ถ้าถึง 20 หน่วยก็อาจจะเริ่มลุกลาม ถ้าขึ้นไปเป็น 100 เป็น 1000 ก็ถึงขั้นแพร่กระจาย (Metastatis) มะเร็งระยะเริ่มต้นนั้นค่าของ CEA ไม่มีอะไรคงที่ ตัวเลขบ่งชี้อาจขึ้นอยู่กับปริมาณสารก่อมะเร็งในร่างกาย รวมทั้งสภาวะต่างๆในร่างกายและจิตใจ ซึ่งเรื่องนี้เราก็สามารถควบคุมได้ระดับหนึ่ง จึงไม่ยึดเอา CEA เป็นเหตุให้เครียด แต่จะดูว่าสุขภาพตัวเองเป็นอย่างไร ดีขึ้น แข็งแรงขึ้นหรือเปล่า มีชีวิตที่ปกติสุขหรือเปล่า ยังกินได้นอนหลับ น้ำหนักไม่ลด คุณภาพชีวิตยังดี ก็ถือว่าเราควบคุมมะเร็ง ให้หยุดนิ่งได้บ้างก็น่าจะสบายใจสบายกายขึ้นบ้างไม่ใช่หรือ ซึ่งผมก็เป็นเช่นว่านี้ ที่เป็นเช่นนี้ผมเชื่อว่า

เป็น เพราะการทานอาหารมังสวิรัติและการปฏิบัติตัวตาม “ยุทธศาสตร์ 4อ.” ของผมนั่นเอง

ผู้ปฏิบัติควรเรียนรู้ วิธีกินอาหารมังสวิรัติให้ได้สารอาหารครบ เหมือนกับอาหารปกติ ไม่ต้องกลัวขาดโปรตีน (ไม่เช่นนั้น ช้าง ม้า วัว ควายมันจะเติบโตได้อย่างไร)ความจริงแล้วเซลล์ในร่างกายผลิตกรดอะมิโนได้ 14ชนิด ต้องการจากอาหารอีก 8 ชนิด คนที่ทานมังสวิรัติ ถ้ารู้หลักก็จะได้สารอาหารครบ 5 หมู่อยู่แล้ว แพทย์ปัจจุบันมัก จะแนะนำผู้ป่วยมะเร็งให้ทานอาหาร 5 หมู่ แต่ไม่บอกว่าควรจะลดละเลิกอะไรบ้าง แถมบางท่านยังบอกว่าให้ทานเนื้อนมไข่ หมูเห็ดเป็ดไก่ได้ตามสบายเสียอีก(เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงสู้กับเคมีบำบัด และได้รับเม็ดเลือดขาวที่ถูกทำลายจากคีโมมาชดเชย)

ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนได้รับการผ่าตัดก้อนมะเร็งออกไปแล้วแต่กลับไปทานอาหาร ประเภทเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กลับไปกินเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดงที่ให้โปรตีนและไขมันสูง(ไปบำรุงให้เซลล์ มะเร็งเติบโตอีก) เริ่มแตะเหล้า เบียร์ บุหรี่ กินอาหารสารพิษปนเปื้อน กินเนื้อสัตว์ปิ้ง ย่างไหม้เกรียม รมควัน (เริ่มสะสมสารก่อมะเร็งอีก) วันดีคืนดีมะเร็งก็เลยกลับมา รู้ตัวอีกครั้งก็สายเกินแก้เสียแล้วนี่แหละการที่แพทย์ปัจจุบันไม่เปิดใจ กว้างให้กับความสำคัญของ “โภชนบำบัด” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการ

แพทย์ ทางเลือก (Altanative Medicine) ทำให้การรักษามะเร็งอาจถึงทางตันได้ ดังนั้นการแพทย์แบบ ประสมประสาน (Integrated Medicine) ซึ่งใช้การแพทย์ปัจจุบันเป็นหลักและการแพทย์ทางเลือกมาเสริมจึงเป็น ทางออกที่ดีที่สุดในยุคแห่งบูรณาการ

หลัง ผ่าตัด : ผมย้ายมาเจาะเลือดติดตามผล CEA และตรวจระบบทางเดินอาหารด้วยเครื่องมือต่างๆที่ รพ.ใกล้ บ้าน (ใช้บริการ 30 บาท ฯ) การบำบัดด้วยตนเองยังคงใช้ “ยุทธศาสตร์ 4อ.” สนับสนุนด้วย “หญ้าเทวดา

หลังผ่าตัด 1 ปี : CEA ขึ้นมาที่ 8.7 ng/ml ตรวจ CT-Scan พบก้อนเนื้อ 4×2 ซ.ม.ในลำไส้ใหญ่ส่วนต้น หมอนัด อีก 2 อาทิตย์ให้ไปทำ Colonoscopy (ส่องกล้องลำไส้ใหญ่) ผมมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างสูงที่จะต้องทำให้ก้อน เนื้อนั้นหายไปให้ได้ด้วยพลังแห่งระบบภูมิคุ้มกัน(Immune System) จึงเร่งปฏิบัติ “ยุทธศาสตร์ 4อ.”อย่างเข้มข้น จริงจัง บูรณาการระบบชีวิตประจำวันใหม่ตาม “หลัก10 ข้อ สู้มะเร็ง” ทานอาหารแบบชนิดต้านมะเร็งอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งทานวิตามินเอเบต้าแคโรทีน วิตามินซี-ดี-อี หญ้าเทวดา(ปักกิ่ง) ผักใบเขียวทั้งสดและนำมาปั่นทานวันละหลายครั้ง ออกกำลังกาย นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้มั่นคง ตัดความหวาดหวั่น วิตกจริต เชื่อมั่นและศรัทธาในแนวทางที่ตนเองบำบัด อยู่ด้วยพลังใจ คิดๆๆๆว่าก้อนมะเร็งต้องหายไป และทั้งหมดนี้ก็ประสบผลสำเร็จ วันส่องกล้องไม่พบเนื้องอกในลำไส้ รอดพ้นผ่าตัดครั้งที่สองไปอย่างปาฏิหาริย์ หลังจากนั้นอีก 2 เดือนก็ไปตรวจเลือดอีกครั้งอีกครั้งปรากฏว่าค่า CEA ออกมาเยี่ยมมากแค่ 1.8 ng/ml ตัวเลขต่ำน่าพอใจมาก(ค่าปกติ 0-5 ng/ml) หลังจากนั้นอีก 3 เดือนก็ไปตรวจ CEA อีก ปรากฏว่าผลออกมายิ่งดี อยู่ที่ 1.1 ng/ml (เหตุที่มะเร็งกลับมาในครั้งนั้นสงสัยว่าอาจจะเป็นเพราะผมกลับไป กินเนื้อปลาอีก เหมือนกับกรณีที่หมออารีย์เผลอตัวไปกินไก่ย่างส้มตำ หรือ อาจารย์หม่อม(ธันย์ โสภาคย์)ชล่าใจ กลับไปกินเนื้อปลา และขนมหวาน)

การตรวจ ครั้งสำคัญ : (18/03/47) เป็นการตรวจครั้งสำคัญในโอกาสที่ครบสองปีหลังการผ่าตัด ปรากฏว่า ค่า CEA ดีเยิ่ยมอยู่ที่ 1.4 ng/ml ผลการตรวจการทำหน้าที่ของตับ LFT (Liver Function Test) และ Ultrasound ช่องท้องออกมาปกติ ผล x-ray ปอดปกติ ก็เป็นอันว่าผมอยู่ในภาวะที่ปกติแน่นอนแล้ว ดีใจมากที่ตัดสินใจได้ถูกต้องในการรักษามะเร็งด้วยตนเองด้วยความเชื่อมั่นใน ด้านธรรมชาติบำบัด และด้วยจิตใจที่มั่นคง เชื่อมั่นในวิธีคิดวิธีปฏิบัติของตัวเอง ..(การตรวจเลือด 22/6/48 ผลยังออกมาดีมาก ค่าCEA อยู่ที่ 1.7 ng/ml )

ปัจจุบัน : สุขภาพร่างกายเป็นปกติแล้ว ไม่มีอะไรบ่งบอกหรือส่งสัญญาณว่ามะเร็งจะกลับมา เรื่องตรวจ CEA ก็เลยเลิกลากันไป

สภาพร่างกาย : กินได้ นอนหลับ แข็งแรง รูปร่างดี (ได้น้ำหนักสัมพันธ์กับส่วนสูง) ระบบขับถ่ายดีเยี่ยม ดีกว่า ก่อนเป็นมะเร็งลำไส้เสียอีก (อาหารมังสวิรัติช่วยได้มาก)  …. ลาก่อนอาหาร/ขนมที่ทำจากเนื้อสัตว์ แป้งขัดขาว นม เนย ไข่ น้ำตาลทรายขาว กะทิ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีเส้นใยอาหาร (Fibre) และบางชนิดมีไขมันชนิดไม่ดีและสารปนเปื้อนเป็นเหตุให้ท้องไส้ผิดปกติ ท้องผูก แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ปวดท้อง

…. ขอลาอย่างถาวรเลยอาการทั้งหลายที่ว่านั้น !

สุขภาพ : สุขภาพทั่วๆไปอยู่ในระดับที่ดี (ดีกว่าเพื่อนๆที่ไม่ได้เป็นมะเร็งในวัยเดียวกันหลายคน) ผลพลอยได้จากการรักษามะเร็งด้วยธรรมชาติบำบัด นอกจากมะเร็งจะหายแล้วยังทำให้ร่างกายเป็นเขตปลอดเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด เข่าเสื่อม ไตเสื่อม อวัยวะต่างๆก็ทำหน้าที่ปกติ เช่น ปอด ตับ หัวใจ ฯลฯ ภูมิคุ้มกันแข็งแรงทำให้ร่างกายไม่เสื่อมสมรรถภาพ เลือดลมดี โรคภัยไม่ค่อยมารบกวน แม้กระทั่งไข้หวัดจะมีบ้างก็เป็นปี

สภาพจิตใจ : สงบ สบาย ไร้กังวล มีความมั่นใจว่าตัวเองได้หายจากโรคมะเร็งแล้ว

กิจวัตรประจำวัน :

เช้ามืด ออกกำลังกายบริเวณสวนที่เต็มไปด้วยแมกไม้สีเขียวแหล่งฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ โดยการจ็อกกิ้ง ประมาณ 1 ก.ม. เสร็จแล้วพักสูดอากาศยามเช้า (นำออกซิเจนสดๆเข้าไปให้ปอดฟอกเลือดเก่าซึ่งมีสีดำเพื่อจะ ได้เลือดใหม่สีแดงสมบูรณ์ด้วยออกซิเจนส่งไปให้หัวใจสูบฉีดไปทั่วร่างกาย) หลังจากนั้นออกกำลังกายต่อ เริ่ม ต้นด้วย sit-up บริหารหน้าท้อง แกว่งแขนบริหารลมปราณ ดัดเนื้อดัดตัวอีกนิดหน่อยตามรูปแบบของโยคะ ชาร์จจักระ(พลังจักรวาล)เป็นอันจบการบริหารกายและจิต เสร็จแล้วก็เดินเล่นในสวนพร้อมสุนัข กลับเข้าบ้านทานหญ้าเทวดา(ปักกิ่ง) 3 เม็ดก่อนอาหารเช้าซึ่งประกอบด้วย โจ๊กข้าวกล้อง ซุปมิโสะ(เต้าเจี้ยวบดญี่ปุ่น)ผสมสาหร่ายญี่ปุ่นวากาเม่ะ ขนมปังโฮลวีทปิ้ง 2 แผ่น กล้วยน้ำว้า 2 ลูก หลังอาหารเช้าทานว่านรางจืด 3แคบซูล (ทั้งหญ้าเทวดาและว่านรางจืดทานวันละ 3 มื้อก่อน/หลังอาหาร ทาน 7 วัน เว้น 4 วัน) ทำ Detox อาทิตย์ละ 2 ครั้ง

จาก นั้นก็หาอะไรทำเพลินๆเช่น รดน้ำต้นไม้ ตัดแต่งกิ่งใบ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน กวาดใบไม้ ล้างรถบ้าง ซักผ้า รีดผ้าบ้าง เปิดทีวีดูรายการข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ เสร็จแล้วก็ดื่มน้ำเต้าหู้(จืด)ผสมลูกเดือย ทานกับ Cornflakes(ข้าวโพดอบเป็นเกล็ดๆ) อาบน้ำ สวดมนต์ทำวัตรเช้า นั่งสมาธิประมาณ 1 ชั่วโมง ทำอาหารกลางวัน (ก๋วยเตี๋ยวน้ำเส้น ข้าวกล้อง) ผัดมักกะโรนีบ้างสปาเก็ตตี้บ้าง ดิ่มน้ำปั่นแครอท,ฟักทอง,ข้าวโพด ,งาดำ บางครั้งก็มีหัวมันต้มสีม่วง(มันต่อเผือก) ทานทั้งเปลือก ฟักทองนึ่ง

หลัง จากนั้นก็พักผ่อน ดูทีวี อ่านหนังสือทั่วๆไปบ้าง เข้าอินเตอร์เน็ตบ้าง โทรศัพท์บ้าง จนบ่ายแก่ๆก็ทานผลไม้(ไม่หวาน) ขนมขบเคี้ยวต่างๆที่ทำจากธัญพืช น้ำผักสุขภาพ ถึงเวลาทานอาหารเย็นก็จะทานข้าวบ้างละ เป็นข้าวซ้อมมือแท้ๆ (สีน้ำตาลเข้ม) หุงรวมกับถั่วแดงและลูกเดือย(เพื่อเพิ่มกรดอมิโนให้ครบถ้วน) หุงสุกแล้วโรยด้วยจมูกข้าว งาดำคั่วทานกับต้มจับฉ่ายสลับกับสตูซึ่งมีส่วนผสมหลักคือ แครอท มันฝรั่ง มันเทศ ฟักทอง ผสมถั่วแดง ถั่วแขก ถั่วลันเตา นอกจากนั้นก็จะมีแกงส้ม แกงเลียงกินได้เป็นอาทิตย์ บางครั้งก็มีอย่างอื่น เช่นผัดปรุงรสต่างๆ เนื้อเทียมต่างชนิดทำด้วยโปรตีนเกษตร ผสมเห็ด ข้าวโพด หรือทำด้วยแป้งผสมถั่วเหลือง หัวบุกและแครอต นำมาผัดซ้อสต่างๆ อร่อยมาก

จากนั้น ก็ออกไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ กลับมาทำโยคะ จนกระทั่งใกล้ค่ำจึงกลับมาสวดมนต์ทำวัตรเย็น นั่งสมาธิ รักษาตัวเองด้วยพลังจักวาล เสร็จแล้วก็อาบน้ำ พักผ่อนดูทีวี ดื่มน้ำเต้าหู้เปิดวิทยุฟังเพลง ดูหนังที่เช่ามา อ่านหนังสือ จนถึงเวลานอนประมาณ ห้าทุ่มทุกวัน ทั้งหมดเป็นกิจวัตรธรรมชาติบำบัดประจำวัน

จะเห็นได้ว่าครบ 4 อ. คือ อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย สำหรับกิจกรรมพิเศษก็มีอีกหลายอย่าง เช่น เช้าวันเสาร์อาทิตย์ต้องใส่บาตรพระสงฆ์ที่เดินมาหน้าบ้าน ว่ายน้ำ แล้วขับรถเข้าเมืองไปทานอาหารเที่ยงที่ชมรมมังสวิรัติจตุจักร เดินเลยไปที่ตลาดนัด ดูไม้ดอกไม้ประดับที่นำมาขาย ไปดูเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีด้วยเปลือกไม้ธรรมชาติ บางครั้งก็ถือโอกาศนั่งรถไฟใต้ดินที่สถานีใกล้กันเข้าไปเดินเล่นในเมืองแถวๆ สีลม ไปศูนย์ประชุมฯสิริกิติ์ ชมนิทรรศการที่สนใจ แวะพักผ่อนที่สวนเบญจกิติที่อยู่ติดกัน บางครั้งก็ไปห้างสรรพสินค้า ไปดูหนัง ดูหนังสือที่น่าสนใจ นานๆทีก็ไปพักผ่อนสัมผัสธรรมชาติแถวเหนือๆที่ชอบโดยเฉพาะเชียงใหม่

กิจวัตรและกิจกรรมของผมแบบนี้แหละทำให้จิตใจร่าเริงเบิกบาน ผลที่ได้ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ทรงประสิทธิภาพ เพิ่มปริมาณเซลล์ เม็ดเลือดขาวที่แข็งแกร่ง กระหายที่จะรุมกินโต๊ะเจ้าพลพรรคมะเร็ง

…เจ้า พวกเซลล์มะเร็งทั้งหลายเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เจอเข้าไป 2 เด้ง ! ไหนจะถูกเซลล์เม็ดเลือดขาวของผมตามไล่ล่าชีวิต  ไหนจะถูกตัดขาดจากอาหาร ชูกำลังประเภท หวาน มัน เค็ม ก็เลยหมดสภาพ กลับไปหมกเม็ดซ่อนตัว รอที่จะได้อาหาร  บำรุงบำเรอให้แข็งแรงเพื่อจะได้กลับมาล้างแค้น  (ไม่ต้อง หวังหรอกนายมะเร็ง!)

ข้อคิดที่ได้ : ความรู้สึกของผมในระหว่างที่กำลังเป็นเป็นมะเร็ง เคยคิดเหมือนกันว่าชีวิตกำลังดำเนินอยู่ที่ปลาย สุดของปากเหว พร้อมที่จะร่วงหล่นลงไปสู่ความตายได้ทุกเมื่อ แต่ในทางกลับกันถ้ามีสติ ปัญญาและพลังใจใน การต่อสู้กับมะเร็งอย่าง”รู้เขารู้เรา” ชีวิตที่อยู่คู่กับมะเร็งก็อาจจะมีคุณภาพ สภาพของเหวที่น่ากลัวก็อาจจะค่อยๆ ตื้นเขินจนเป็นพื้นที่ธรรมชาติสวยงามที่ให้ความสดชื่นรื่นรมย์ เติมเต็มชีวิตที่เหลือให้มีความหวังครั้งใหม่ได้

หมายเหตุ : แนวทางรักษามะเร็งของผมเป็นแนวทางที่ใช้ธรรมชาติบำบัด ผลดีที่เกิดกับผมนั้นอาจจะแตกต่างกับ  ผู้ป่วยรายอื่นที่มีความไม่เหมือน กันทั้งในสภาพร่างกาย จิตใจ สภาพแวดล้อม ความมุ่งมั่น ความเพียรพยายาม  การ ตัดสินใจในกรณีต่างๆเป็นวิธีคิด วิธีปฏิบัติของผม เป็นเรื่องเฉพาะตัว แม้กระทั่งการตัดสินใจไม่ใช้เคมีและรังสีบำบัด  ผู้ป่วยท่านอื่นๆจึงควร ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก

ถ้าจะใช้ การแพทย์ทางเลือกก็ต้องใช้ดุลพินิจและวิจารณญาณของท่านตลอดจนผู้ให้การ ปรึกษาของท่านเป็นหลัก เพราะมีผู้ที่แอบอ้างเป็นแพทย์ทางเลือกบางคนมีพฤติกรรมที่ไม่จริงใจต่อผู้ ป่วยโดยให้ข้อแนะนำอย่างฉาบฉวย มุ่งที่จะขายวิตามิน ในราคาที่ค่อนข้างสูงอย่างเดียว ขายกันเป็นชุดประกอบด้วยวิตามินสิบกว่าชนิด กินกันวันละเป็นหมื่นๆมิลลิแกรม หมดแล้วให้มาซื้อใหม่ ไม่รู้จบ ผู้ป่วยบางรายหมดเงินไปหลายหมื่นบาท ซึ่งไม่ต่างจากแพทย์แผนปัจจุบันหลายท่านที่ไม่มี ความจริงใจและความเป็นกันเองต่อผู้ป่วยคิดอย่างเดียวที่จะเสนอการใช้ยาเคมี ชนิดต่างๆที่แพงแสนแพงต่อผู้มีฐานะดี ใช้ครั้งละเป็นหมื่นเป็นแสนบาท บางคนหมดไปกว่าสิบล้านแต่กลับมีอาการทรุดลงเรื่อยๆ ส่วนผู้ป่วยที่มีฐานะยากจนแพทย์ก็จะ กำหนดให้ใช้ยาเคมีแบบพื้นๆโดยตัวแพทย์เองก็รู้ทั้งรู้ว่าโอกาศที่มะเร็งจะ หายได้โดยวิธีดังกล่าวนี้มีเปอร์เซ็นต์ที่ค่อนข้างน้อย ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในฐานะของผู้ป่วยทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในการ รักษาโรคทั้งหลายโดยเฉพาะ

โรคร้ายอย่างมะเร็ง! ธรรมาภิบาล และจริยธรรมยังเป็นปัญหาในวงการแพทย์ปัจจุบัน ผมเองไม่ได้ต่อต้านในเรื่องนี้เพราะทั้งวิตามินสำเร็จรูปและยาเคมีก็มี ประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ทุกอย่างมันอยู่ที่ความ พอเหมาะพอควรในสถานภาพของแต่ละคน ผมเองก็ไม่ได้กินวิตามินสำเร็จรูป และไม่ได้ใช้ทั้งคีโมและฉายแสงด้วย แต่ผมก็อยู่ได้มาถึงวันนี้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ครบถ้วนโดยการใช้ปฏิบัติการ ทางธรรมชาติบำบัดอย่างเคร่งครัด เชื่อมั่น แน่วแน่ ศรัทธาในหนทางนี้อย่างมั่นคง.

ณ วันนี้ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ในสภาวะที่ปกติแล้วก็ตาม แต่จะยึดแนวธรรมชาติบำบัดต่อไปในการดำเนินชีวิต ไม่เช่นนั้นมะเร็งอาจกลับมาอีกรอบซึ่งเป็นไปได้มาก เห็นมามากแล้ว ความประมาท กับ ความตาย เป็นของคู่กัน !

*** ขอสงวน ชื่อเจ้าของเรื่อง ข้อมูลการติดต่อ เนื่องจากมีผู้โทรไปรบกวนเจ้าของเรื่อง จนรับสายไม่ไหว  แต่ขอรับรองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ได้สร้างขึ้นมาแต่อย่างใด ***

:::รายละเอียดหญ้าปักกิ่งสดและแคปซูล :::

Visited 354,603 times, 1 visit(s) today

55 Comments on “ผมรักษามะเร็งด้วยตนเอง โดยวิธีธรรมชาติบำบัด ได้ผลมาก หายเป็นปกติมา 7 ปีแล้วครับ

  1. ป้าแอ้ค่ะ สามีของหนูกำลังประสบปัญหาเดียวกัน อยากขอเบอร์คุณด้วยค่ะ จะได้มีกำลังใจ

  2. สวัสดีค่ะ สามีดิฉันก็เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดที่หลังโพรงจมูก ให้คีโม 6 ครั้ง แล้วต่อด้วยการฉายรังสี ประมาณ 25 ครั้ง ตอนนี้หายแล้วค่ะ ต้องไม่เครียดนะคะ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ

  3. ดิฉันมีความเชื่อว่า คีโม กับ ยาทางเลือก สามารถ ใช้ร่วมกันได้ดี เพราะว่าอย่างไร คีโม ก็ยังมีประโยชน์ อยู่คะ สำหรับคนเป็นมะเร็งไม่ต้องกลัวการไปทำคีโม คะ สามีดิฉันเป็นมะเร็งลำไส้ ลามไปตับ ขั้นสุดท้ายคะสูงไปสามพันคะ นี้คือเรืองจริงคะ ทำคีโม ไป หกครั้งค่ามะเร็งหายไปเกิอยหมดแล้วคะ แต่ ก็ยังต้องรักษาต่อไป คือต้องรอผ่าตัดคะ ถ้าค่ามะเร็งหมดเนื้องอกสามารถผ่าตัด แล้วต้องผ่าตัด แล้วทำคีโม อีกครั้งหลังผ่าตัด สามีดิฉันไม่ได้กินอาหาร แบบสุดโต้งคะ คือกินอาหารปกติ ทั่วไปแต่ ไม่กินของมัน และ เนื้อแดง พวกปิ้งย่าง ไหม้ ไม่กิน คะ ส่วนมากก็กิน ปลา กุ้งไก่ คะแต่ไม่มาก ส่วนไข่กิน ทุกวัน แล้วก็ กิน ผัก ผลไม้ ตามที่หาได้ แต่ จะ เน้น อาหารให้ พลังงานคะ อาหารว่างก็พวกถั่ว ต่างๆ ที่มีประโยชน์ เพราะว่าจะได้มีแรงไปทำคีโม คะ ถ้ามั่วแต่กินผัก ผลไม้ อาหารชีวจิต มีหวังไม่มีแรงคะ ดิฉันเห็นว่า กินอาหารปกติ แต่ปรับเหรอ ลดอาหารบางอย่าง มันได้ผลดีคะ สำหรับคนที่เตรียมรับการทำคีโม คะ ไม่จำเป็นต้อง กินแต่ผัก ผลไม้คะ

  4. แม่ป่วยเป็นมะเร็งต่อมไร้ท่อที่อยู่ในตับอ่อน เป็นเบาหวานมา๕ปี คาดว่าน่าจะเกิดจากมะเร็ง หมอรักษาโดยการตัดตับอ่อนออกทั้งหมด พอฟังผลชิ้นเนื้อพบว่ากระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว กลุ้มใจมาก แม่น้ำหนักลดมาก จะรักษาอย่างงัยดี

  5. บทสรุปที่แท้จริงของคนเป็นมะเร็งคืออะไรกันแน่
    หมอแผนปัจจุบันให้ทานทุกอย่าง
    แต่ก็หมออีกเหมือนกัน ที่ห้ามไม่ให้ทานเนื้อสัตว์ นม ไข่
    อะไรคือความจริง

  6. อยากถามคุณวิมล ข่วยเล่าประสบการณ์ ผ่าตัดมะเร็งตับด้วยได้ไหมคะ เพราะเราเองก็เป็น เริ่มจากเต้านม ลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองและตับ ได้ผ่าตัดเต้านมและต่อมน้ำเหลืองแล้ว ตอนนี้หมอแนะนำให้ผ่าตัดที่ตับ
    ไปดูวีดิโอ ผ่าตัดตับที่ youtube มา น่ากลัวมาก คิดว่าคงจะเจ็บมาก หลังการผ่าตัด เป็นอย่างไรบ้างคะ ช่วยแชร์ประสบการณ์ เล่าให้ทราบบ้างได้ไหมคะ

  7. ดิฉันเป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งตับระยะสุดท้าย ได้รับการผ่าตัดมาแล้วทั้งลำไส้และตับ อยากจะให้กำลังใจกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งทุก ๆ ท่านว่า การทำจิตใจให้เข้มแข็งสำคัญมากค่ะ

  8. ขอบคูณที่แบ่งปันความรู้ขอให้ท่านแข็งแรง มีสุขภาพดีนะคะ

  9. สองอาทิตย์ก่อน ซื้อไปให้แม่ยายกิน เพราะแม่ยายเป็นมะเร็งตับ ซื้อแบบสดไปคั้นน้ำกิน กินเช้าเย็นก่อนอาหาร หนึ่งชั่วโมง กินได้สามวัน แม่ยายหรุดหนัก จากที่เดินได้พูด กลับขยับตัวไม่ได้ แข็งทั้งตัว ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ตอนนี้ไม่รูสึกตัวเลย ต้องให้อ๊อกซิเจนตลอด หมอบอกว่าอาจอยู่ได้อีกวันสองวัน ไม่ได้โทษหญ้าปักกิ่งไม่ดีหรอก แต่คิดว่า มันจะได้ผลแค่บางคนหรือเปล่าครับ

  10. ลองโทรเข้ามาที่เบอร์บนหน้าเว็บนะคะ ขอบคุณค่ะ

  11. อยากรบกวนถามว่า ตอนนี้พอดีอยากมีบุตรเลยไปหาคุณหมอที่จุฬาคุณหมอขอดูมดลูกว่ามี่ไข่=เลยเจ๊กพล็อต จ๊ะเอ๋ เนื่องอก3cm.อยากทราบว่าตอ้งทำอย่างไง กินหญ้าปักกิงจะหายไหมค๋ะ!(ซึ่งหมอบอกว่าเป็นปกติที่ญ.10คนจะเป็น2คนในอายุ35ปีขึ้นไปในยุคนี้)แต่ก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดีแหละว่าไม!

  12. ถ้าเป็นมะเร็งปากมดลูก กินน้ำหญ้าปักกิ่งจะช่วยได้ไหม หรือ สมุนไพรตัวไหนบ้างที่สามารถช่วยให้อาการทุเลาลง ใครให้ข้อมูลได้ช่วยด้วยนะคะ จะขอบคุณมากคะ

  13. พ่อ มีอาการผิดปกติด เรื่องหายใจ หอบและเหนื่อยง่าย เพราะมีน้ำมาขังที่เยื้อหุ้มปอดตลอด ตอนนี้รอผลการตรวจหาเชื้ออยู่ค่ะ จึงอยากศึกษาเรื่อง หญ้าเทวดา ไว้เพื่อช่วย
    ให้อาการพ่อทุเลาลง เห็นแล้วสงสารมากๆ คะ

  14. แม่ผมป่วยเป็นมะเร็งปอดเหมือนกันครับ คืออย่างนี้นะครับ ผมอยากให้พวกเรา หมายถึงเราเป็นคนที่ดูแลคนป่วย คืออยากให้พวกเรามีเบอร์โทรติดต่อกันนะครับ ในกลุ่มของโรคนั้นๆ เช่น

    1.กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งปอด มี คุณ A คุณ B คุณ C ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ดูแล ซึ่งสามารถ โทรปรึกษากันได้ ในเรื่องของวิธีการดูแลผู้ป่วย อะไรที่ทำไปแล้วดี หรือ สิง่ที่ต้องระวัง ประมาณนั้นครับ เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องลองผิดลองถูกกัน เพื่อนคนที่เรารักครับ

    ปล.สุดท้ายนี้ถ้ากลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วย ในกลุ่มนี้ (มะเร็งปอด) ต้องการแนะนำ อะไรติดต่อหรือทิ้งเบอร์โทรไว้ทาง mail นี้นะครับ saranyu.s[at]hotmail.com

    ขอให้ทุกคนช่วยกันให้ข้อมูลกันนะครับ เพื่อคนที่เรารัก ขอบคุณครับ

  15. ลองทานหญ้าปักกิ่งดูนะคะ เค้าช่วยเรื่องเสริมภูมิคุ้มกันค่ะ ดังนั้นจะช่วยได้หลายด้าน

    แต่อย่าลืมพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุด้วยนะคะ

    ขอบคุณค่ะ

  16. ผมเป็นคนหนึ่งที่มีโรคภัยความเจ็บปวดรุมเร้าหลายอย่าง ภูมิแพ้ เหนื่อย ปวดเนื้อตัว เวลายกของหรือทำงานที่ใช้กำลัง จะปวดเจ็บกล้ามเนื้อ ระบบการหายใจถดถอย คล้ายหอบหืด แน่นหน้าอก เหมือนมีอาการหดเกร็ง เป็นหวัดเรื้อรัง เป็นโพรงไซนัสอักเสบ

  17. ตอนนี้แม่ป่วยเป็นมะเร็งปอดมาก็หลายปีแล้ว แม่ชอบหายาทานเองเพราะไปหาหมอกับมาแต่กับสักพักกับดูแย่ลง แม่ตัวเหลืองซีด แต่ตอนนี้กินมะรุมสกัดอยู่ก็ดีขึ้นแต่ก็ยังดูเหนื่อยๆอยู่ค่ะ ถ้าจะให้แม่กินหญ้าปักกิ่งเสริมควบคู่ไปด้วยจะเป็นไรไหมค่ะ รบกวนช่วยตอบหน่อยนะค่ะ
    ขอบคุณมากค่ะ

  18. กรุณาตอบด้วยนะค่ะเป็นทุกข์ใจมากเลยค่ะ ไม่รู้จะไปปรึกษาใครดี

  19. เพราะตอนนี้คุณพ่อเป็นมะเร็งผิวหนังและลามเข้าต่อมนำเหลืองนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศภาคม 2553 ถึง ปัจจุบัน

  20. อยากได้ความรู้เพิ่มเติมและขอเบอร์โทรศัพท์ด้วยค่ะ