ชนะมะเร็งได้ด้วยหัวใจนักสู้
ใครก็ตามที่ได้รับรู้ว่าตนเองเป็น “มะเร็ง“แล้ว ส่วนใหญ่จะเกิดความรู้สึกช็อกเป็นอันดับแรก แต่ก็มีคนป่วยหลายคนที่สามารถทำใจได้กับโรคที่เป็นและมีกำลังใจที่เข้มแข็งที่จะต่อสู้ต่อไป บางครั้งตัวญาติเองกลับจะรู้สึกทุกข์ร้อนไปกับอาการป่วยไข้มากกว่าผู้ที่เป็นเองเสียอีก
ดังเช่น คุณวรชาติ อุชุไพบูลย์วงศ์ เคยเผชิญกับโรคร้ายนี้มาแล้ว เขาเคยป่วยหนักเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นร้ายแรง ตรวจพบเมื่อปี พ.ศ.2540 หรือกว่าเจ็ดปีมาแล้ว
ใครที่ได้พบเห็นคุณวรชาติในวันนี้แทบทุกคนจะต้องไม่เชื่อว่าเขาเคยป่วยหนักถึงขนาดที่ว่าต้องหามกันเลยทีเดียว ด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้ม ผิวพรรณที่สดใสบ่งบอกถึงความมีสุขภาพดีในวันนี้ แล้วอะไรที่ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่ได้ บทความต่อไปนี้คือคำตอบ
“ช่วงก่อนที่จะตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ประมาณปี 2540 ก็ทราบกันดีว่า ปีนั้นเป็นปีที่เศรษฐกิจตกต่ำ เดือนกรกฎาคม ปี 40 มีการประกาศลดค่าเงินบาท ตอนนั้นผมทำงานเครียดมาก ทำงานตลอด วันอาทิตย์ก็ไม่เคยหยุด ความเครียดสะสมเรื้อรัง…จู่ๆ ก็เกิดปวดหัว ตัวร้อน ไม่สบายขึ้นมา กินอะไรไม่ได้ อาเจียนด้วย ก็ไปหาหมอด้านอายุรกรรมทั่วไป ถึง 3 หมอ หมอให้ admit ที่โรงพยาบาล ก็พบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ตอนแรกหมอเขาไม่บอกให้ผมทราบว่าเป็นมะเร็ง แต่บอกกับภรรยาผม และภรรยาผมก็บอกกับผมว่าผมเป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และจะต้องให้การรักษาคล้ายกับรักษามะเร็ง คือเธอคงกลัวว่าผมจะรับไม่ได้ ซึ่งตอนแรกผมก็รับไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ตอนนั้นผมป่วยจนไม่ค่อยจะรู้สึกตัวเลย ทุกอย่างภรรยาจัดการให้ทั้งหมด
… หลังจากนั้นเกือบเดือนผมจึงได้ทราบว่าเป็นมะเร็ง เพราะต้องรักษาด้วยการให้คีโม ผมร่วงหมดเลย…จนให้คีโมเข็มที่ 3 เพื่อนฝรั่งของผมเขาก็สงสัยเลยถามผมต่อหน้าภรรยาเลย ภรรยาเลยยอมรับว่าผมเป็นมะเร็ง…คุณรู้มั้ยว่าตอนนั้นผมร้องไห้ต่อหน้าเพื่อนฝรั่งเลย ตอนนั้นรับไม่ได้เลยจริงๆ เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อน ถ้าใครที่เป็นมะเร็งที่หมอบอกว่าอยู่ในขั้นร้ายแรงเนี่ยมักจะไม่รอด… ภายในระยะเวลา 2-3 เดือนน้ำหนักผมลดลง 19 กิโลฯ จากเมื่อก่อนน้ำหนัก 78 กิโลฯ ลดลงเหลือ 59 กิโลฯ ผอมจนลูกน้องเก่าจำไม่ได้ทั้งที่ยืนห่างกันแค่เมตรเดียว ผมทักเขา เขายังมองหน้าผมงงๆ อยู่ตั้งนาน
พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง เราก็เริ่มศึกษาเรื่องของมะเร็งเป็นการใหญ่ หาข้อมูลทุกอย่างที่หาได้ หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน ภรรยาผมเขาไปเจอหนังสือเกี่ยวกับการรักษามะเร็งแนวธรรมชาติบำบัดของคุณหมอบรรจบ-คุณหมอลลิตา ก็สนใจเลยเข้ามาที่บัลวี มาเข้าคอร์ส ผมได้รับความรู้ต่างๆ ในการปฏิบัติตัวเพื่อสู้กับมะเร็ง ได้นั่งสมาธิ การสั่งจิตใต้สำนึก ไฮโดรแอโรบิก การออกกำลังกาย ได้รู้หลักโภชนาการที่จะนำมาใช้ ในชีวิตประจำวันแล้วก็กลับมาทำที่บ้านโดยรักษาควบคู่กับการให้คีโม คือ3 อาทิตย์ให้คีโม 1 เข็ม รวมทั้งหมด 8 เข็มใหญ่ 9 เข็มเล็ก พร้อมทั้งทานยาเม็ดอีกครึ่งปี
..แรกๆ ที่เริ่มการออกกำลังกาย ต้องใช้กำลังใจมหาศาล เพราะตอนนั้นผมไม่มีเรี่ยว ไม่มีแรงเลยนะครับ จะลุกเดินก็ไม่ค่อยไหว โดยเฉพาะหลังจากให้คีโมใหม่ๆ จะหมดแรงเลย ตอนนอนอยู่ก็พยายามยกแข้ง ยกขา บริหารหน้าไปตามเรื่อง ค่อยๆ ทำไป ก็คิดในใจว่าเราจะต้องไม่ตาย อาศัยใจสู้…ฝันให้ไกล แต่ค่อยๆ ไปให้ถึง..
…ช่วงที่ผมป่วยใหม่ๆ ก็อาศัยออกกำลังกายเบาๆ เวลานั่งสมาธิก็ภาวนาว่า ขอให้เดินได้ เราก็เริ่มเดิน ภาวนาว่าขอให้วิ่งได้ เราก็เริ่มวิ่ง อย่างนี้ เราต้องไปทีละสเต็ป…ผมเคยหักโหมอยู่ครั้งนึง ความที่อยากจะหายเร็วๆ ตอนนั้นเพิ่งไปให้คีโมใหม่ๆ ก็ออกกำลังกายใหญ่เลย ผลคือ หายใจไม่ออก จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันลอยกระทง ภรรยาพาลูกๆ ไปลอยกระทง ผมอยู่บ้าน ก็เลยโทร.บอกภรรยาให้รีบกลับมาดูใจ (หัวเราะ)…ต่อมาก็เลยต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ต้องสม่ำเสมอ มารักษาที่บัลวีได้ 1 เดือนก็เริ่มรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น และทุกคนในครอบครัวก็ช่วยเหลือและให้กำลังใจตลอด จนทุกวันนี้ผมต้องออกกำลังกายทุกวันขาดไม่ได้ เช้าๆ นี่ต้องตื่นมาออกกำลังกายริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือบ้านผมอยู่ริมแม่น้ำ ได้รับอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน วันไหนว่างก็เข้ามาที่บัลวีมาทานอาหาร มาออกกำลังกายวิ่งสายพาน ฟิตเนส อาบแสงตะวัน อบซาวน่าครับ”
จากเมื่อก่อนที่ยังไม่ทราบว่าเป็นมะเร็ง เมนูเด็ดที่นิยมมากของคุณวรชาติ คือ ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู นี่คือมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันก็เป็นข้าวราดแกงเพื่อแข่งขันกับเวลา มื้อเย็นค่ำเป็นอาหาร ที่เรียกว่า “อมังสวิรัติ” คืออุดมด้วยเนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้ง
นอกจากอาหารที่กล่าวแล้ว เขายังสูบบุหรี่จัดถึงวันละซองกว่าทุกวัน แถมด้วยการดื่มกาแฟอีกวันละ 3-4 แก้ว โถ…แล้วร่างกายจะต้านอนุมูลอิสระที่เข้าไปทุกวันอย่างนี้ยังไงไหว
แต่เมื่อคุณวรชาติได้มาที่บัลวีเมนูอาหารก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากที่ไฮโปรตีนขนาดนั้น เขาจึงได้รับการจัดเมนูอาหารเพื่อต่อสู้กับมะเร็งโดยเฉพาะ
ปีแรกเขาต้องทานข้าวกล้องกับผัก ไม่มีโปรตีน ไม่มีเต้าหู้ ไม่มีน้ำมัน ปีที่สองเริ่มมีเต้าหู้เสริมเข้ามา แต่ก็ต้องทานข้าวกล้องและผักเป็นหลัก ปีที่สามและสี่ จะเริ่มมีปลาให้ทาน ถึงตอนนี้คุณวรชาติบอกว่าชินเสียแล้ว ถึงไม่มีปลา ไม่มีเต้าหู้ให้ทานก็ไม่สนใจ ดูเหมือนว่าข้าวกล้อง ผักสดผลไม้เป็นอาหารวิเศษที่ขาดไม่ได้เสียแล้ว
“ผมจะทานอาหารที่บัลวีตลอดช่วง 5 ปี เพราะเพื่อให้แน่ใจว่าเราได้กินอาหารที่ถูกต้องตามหมอสั่ง หลังจาก 5 ปีไปแล้ว วันไหนว่าง ผมก็จะมากินที่บัลวีตลอด เหมือนกับมาเยี่ยมเยือนคนที่นี่ เพราะมาจนรู้สึกคุ้นเคยเหมือนกับเป็นญาติมิตรของเราเลย
… อยู่ที่บ้านผมก็กินง่ายๆ มันรู้สึกชินเสียแล้ว กินผักเปล่ายังรู้สึกว่าอร่อยเลย อย่างสลัดนี่ ผมจะใส่มันนึ่งบาง มันต้มบ้าง โรยข้าวโพดต้ม ไมใส่น้ำสลัดเลยก็อร่อย บางครั้งก็เป็นสุกี้บ้าง หรือหน้าหนาวๆ อย่างนี้ก็อาจจะกินแกงส้มแป๊ะซะ ต้มน้ำซุปบ้าง กลิ่นหอมจนคนข้างบ้านบอกว่าทำอะไรกินทำไมมันหอมอย่างนี้
…วันๆ ผมจะกินผักผลไม้มาก อย่างมะละกอลูกเล็กๆ หน่อยกินได้วันละประมาณ 4-5 ลูก ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง คือกินครบที่คุณหมอบอก คือ ผัก 2 ส่วน ผลไม้ 2 ส่วน น้ำผักผลไม้อีก 1 ส่วน ที่เหลือก็เป็นพวกข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต และเต้าหู้บ้าง เพื่อให้ได้รับสารอาหารโดยเฉพาะเบต้าแคโรทีน และวิตามินซีไปต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายเราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ผมกินผักผลไม้มากจนผมที่ร่วงไปที่เคยหงอกขาวพองอกมาใหม่กลับผมดกดำเป็นธรรมชาติไม่ต้องไปย้อมให้เสียเงินเสียทองเลยครับ จนภรรยาผมแซวว่าเหมือนได้สามีใหม่ที่หน้าตาเด็กลงกว่าเดิม…”
ปัจจุบันคุณวรชาติหันมาทำธุรกิจส่วนตัวได้ประมาณ 3 ปีด้วยเรี่ยวแรงและกำลังใจที่เต็มเปี่ยม หลังจากที่ลาออกจากงานบริษัทต่างชาติเพื่อมารักษาตัวอยู่หลายปี ซึ่งตรงนี้เขาบอกว่าเป็นโชคดีเพราะทำให้เขาได้ทุ่มเวลาให้กับการรักษาอย่างเต็มที่
ปีใหม่นี้คุณที่เป็นโรคร้ายขอให้มีใจสู้อย่างคุณวรชาติที่สามารถผ่านมันมาได้ด้วยหัวใจนักสู้โดยแท้
ชนะมะเร็งได้ด้วยหัวใจนักสู้
กองบรรณาธิการ
http://www.balavi.com/content_th/interview/IV0014.asp
จตุกาหญ้าปักกิ่ง